วันอาทิตย์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2557

ความเชื่อ ต้องห้าม ขณะมี ประจำเดือน





 ทราบหรือไม่ว่า ความเชื่อกับพฤติกรรมแบบไหนที่ควรทำหรือไม่ควรทำ ขณะมีประจำเดือน วันนี้มีเรื่องนี้มาฝากคุณสาวๆ ค่ะ...
ห้ามอาบน้ำเย็น ในช่วงที่มีประจำเดือน เป็นความเชื่อตั้งแต่อดีต เมื่อเวลามีประจำเดือน ฮอร์โมนในร่างกายจะมีการแปรปรวน ภูมิคุ้มกันลดลง การอาบน้ำเย็นจะทำให้ร่างกายต้องปรับอุณหภูมิตาม อาจทำให้เกิดการเจ็บป่วยได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วผู้ที่มีประจำเดือนสามารถอาบน้ำเย็นในระดับอุณหภูมิปกติได้

ห้ามรับประทานน้ำแข็งหรือของเย็น บางคนประจำเดือนมาต้องหลีกเลี่ยงการกินน้ำแข็งหรือของเย็นทุกที เป็นเพราะความเชื่อที่มีมาแต่เดิม แต่ในความเป็นจริง สามารถที่จะรับประทานน้ำแข็งหรือของเย็นได้ตามปกติ แต่ควรรับประทานในปริมาณที่ไม่มากจนเกินไป

ห้ามออกกำลังกายเวลาขณะมีประจำเดือน เป็นความเชื่อที่ผิด เพราะความจริงแล้วการออกกำลังกายเป็นประจำ ร่างกายจะหลั่งสารเอนดอร์ฟินออกมา สารนี้จะทำให้เกิดความสุข ช่วยผ่อนคลายความเครียด และช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวด ดังนั้นการออกกำลังกายจึงเป็นวิธีป้องกันอาการผิดปกติ ที่เกิดขึ้นในระหว่างการมีประจำเดือนได้
ห้ามมีเพศสัมพันธ์ขณะที่มีประจำเดือน ความเชื่อในเรื่องนี้คงจะไม่ใช่ข้อห้าม แต่ก็ควรจะระมัดระวังในเรื่องความสะอาดให้มากกว่าปกติ เพราะอาจจะทำให้เกิดการติดเชื้อได้ง่าย ดังนั้นควรที่จะรักษาความสะอาดเป็นพิเศษทั้งผู้หญิงและผู้ชาย


ห้ามลงเล่นน้ำ เป็นความเชื่อในเรื่องของความสะอาด เพราะในน้ำ อาจจะมีสิ่งสกปรกปนเปื้อนอยู่ อาจทำให้เชื้อโรคเข้าไปในช่องคลอด ทำให้เกิดการอักเสบได้ ดังนั้นถ้าอยากจะลงเล่นน้ำในสระว่ายน้ำก็คงจะต้องเลือกสระว่ายน้ำที่ สะอาด เลือกช่วงเวลาที่ไม่มีคนใช้บริการมากนัก และก็ควรที่จะใช้ผ้าอนามัยแบบสอดก่อนที่จะลงว่ายน้ำ

ที่มาเรื่องจาก เดลินิวส์

วันเสาร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2557

โรคโลหิตจาง




    เลือดออกอย่านอนใจ (ไทยรัฐ)

              โรคโลหิตจาง (anemia) เป็นเครื่องบอกเหตุว่ามีโรคหรือสาเหตุซ่อนอยู่ ซึ่งต้องค้นหาดูว่าเป็นอะไร แล้วจึงจะทำการรักษาที่ถูกต้อง โรคที่ทำให้เกิดภาวะ โรคโลหิตจาง พบบ่อยในบ้านเรา แต่หากไม่ได้ใส่ใจ และปล่อยทิ้งไว้จนเป็นมากอาจจะก่อให้เกิดผลเสียได้ ในภาวะโลหิตจางหรือที่ชาวบ้านเรียกว่า "ซีด" นั้น ร่างกายจะมีจำนวนเม็ดเลือดแดงลดลง แต่ละเพศและวัยมีค่านี้แตกต่างกัน เมื่อไรพบว่าค่าต่ำกว่าพิกัดต่ำสุดของประชากรเพศและวัยนั้นก็ถือว่า โรคโลหิตจาง


    สาเหตุของ โรคโลหิตจาง

              โรคโลหิตจาง เกิดจากการเสียเลือด เช่น เสียเลือดจากระบบทางเดินอาหาร เนื่องจากเป็นแผลในกระเพาะอาหาร สังเกตได้จากอุจจาระที่เป็นสีดำ และเหนียวคล้ายยางมะตอย ผู้ที่มีพยาธิปากขออยู่ในลำไส้ หรือสตรีที่เสียเลือดมากผิดปกติจากการมีประจำเดือนจากโรคทางพันธุกรรมในบ้านเรามีหลายชนิด แต่ที่พบบ่อย คือ โรคธาลัสซีเมียเกิดจากเม็ดเลือดแดงแตกง่ายผิดปกติ ซึ่งโรคนี้สามารถติดต่อได้ทางพันธุกรรม

              โรคโลหิตจาง จากภาวะการขาดอาหาร ส่วนมากจะพบในคนไข้ที่รับประทานอาหารไม่ได้ หรือรับประทานได้ แต่ไม่ครบทุกประเภท มักพบบ่อยในผู้สูงอายุ ผู้ที่รับประทานมังสวิรัติ หรือผู้ที่รับประทานอาหารไม่ครบหมู่ จากการที่ร่างกายสร้างสารมาทำลายเม็ดเลือดของตัวเอง อาทิ โรคเอสแอลอี โรคโลหิตจาง จากปัญหาของมะเร็งเม็ดเลือดโรคโลหิตจาง ที่เป็นผลจากโรคอื่น เช่น โรคตับ โรคไต

              ภาวะ โลหิตจาง เกิดได้จากหลายสาเหตุ บางอย่างสามารถรักษาให้หายขาดได้ บางอย่างทำได้แค่ประคับประคองให้ผู้ป่วยใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงกับคนปกติให้มากที่สุด สิ่งที่สำคัญ คือ อย่าละเลยอาการผิดปกติที่เกิดขึ้น การตรวจพบ โรคโลหิตจาง ตั้งแต่ระยะเนิ่นๆ จะทำให้การรักษาโรคได้ผลดี และมีภาวะแทรกซ้อนน้อยกว่าการรักษา โรคโลหิตจาง ในระยะที่เป็นมาเนิ่นนานแล้ว

    อาการของ โรคโลหิตจาง

              ผู้ที่เป็น โรคโลหิตจาง ไม่มากหรือไม่มีโรคหลอดเลือดร่วมด้วยอาจไม่มีอาการก็ได้ อาการจะมีหรือไม่ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของ โรคโลหิตจาง และความเฉียบพลันของการเกิดโรค โรคโลหิตจาง

               อาการเหนื่อยง่าย เหนื่อยง่ายหมายถึงรู้สึกเหนื่อยผิดปกติเวลาที่ต้องออกแรง เช่น เคยเดินบันไดได้โดยไม่เหนื่อยแต่กลับเหนื่อย ถ้ามี โรคโลหิตจาง รุนแรง แค่เดินในบ้านก็อาจเหนื่อยแล้ว เวลาเหนื่อยอาจมีอาการใจสั่นร่วมด้วย ที่รุนแรงอาการมีอาการของโรคหัวใจวาย คือ เหนื่อย แน่นหน้าอก หอบ เป็นต้น

               อาการอ่อนเพลีย เวียนศีรษะ

               อาการเป็นลม หน้ามืด วิงเวียน

               อาการทางสมอง เช่น รู้สึกสมองล้า หลงลืมง่าย ขาดสมาธิในการทำงาน เรียนหนังสือไม่ดีเท่าที่ควร นอนไม่หลับ

               อาการหัวใจขาดเลือด มักพบในคนที่มีโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โลหิตจาง ทำให้อาการของหัวใจรุนแรงขึ้น เจ็บหน้าอกง่ายขึ้น

               อาการขาขาดเลือด พบในคนที่มีโรคหลอดเลือดของขาทำให้ปวดขา เวลาเดินได้ไม่ไกล ต้องหยุดพักบ่อยๆ เวลาเดิน

               อาการทางระบบทางเดินอาหาร เช่น เบื่ออาหาร ท้องอืด

    การวินิจฉัย โรคโลหิตจาง

              โรคโลหิตจาง สามารถให้การวินิจฉัยได้จากลักษณะประวัติอาการ การตรวจร่างกายโดยละเอียด การตรวจลักษณะของเม็ดเลือด รวมทั้งการตรวจพิเศษบางอย่างเพื่อวิเคราะห์หาสาเหตุของภาวะ โลหิตจาง

    การรักษา โรคโลหิตจาง

              หลักการสำคัญ คือ รักษาที่สาเหตุของ โรคโลหิตจาง แนวทางการรักษาประกอบด้วยการรักษาทั่วไป เป็นการบำบัดอาการของ โรคโลหิตจาง ระหว่างที่ทำการรักษาโรคสาเหตุของ โรคโลหิตจาง เช่น รักษาภาวะหัวใจวาย ลดการออกแรง ให้ออกซิเจน ให้เลือดทดแทน มักให้ในกรณีที่ผู้ป่วยมีปัญหาหลอดเลือด ผู้ป่วยอายุมากหรือเสียเลือดมากเฉียบพลันผู้ป่วยเลือดจางเรื้อรังมักไม่จำเป็นต้องให้เลือด แม้ว่าความเข้มข้นของเลือดจะต่ำมากๆ ก็ตาม

              ส่วนการรักษาจำเพาะเป็นการรักษาไปที่สาเหตุ กำจัดสาเหตุและให้การรักษาโรคสาเหตุนั้นๆ เช่น ถ้าพบว่าเลือดจางเพราะพยาธิปากขอ ก็ให้ยากำจัดพยาธิและให้ยาที่มีธาตุเหล็กควบคู่กันไป เมื่อระดับความเข้มข้นของเลือดกลับสู่ระดับปกติแล้ว ควรให้ยาเสริมธาตุเหล็กต่อไปอีก 3 เดือนจึงจะเพียงพอ

                                                                                                                                ขอขอบคุณข้อมูลจาก 

วันพุธที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2557

15 ประโยชน์ของน้ำส้มสายชู..ที่คุณอาจคาดไม่ถึง!!!

"น้ำส้มสายชู" คือ เครื่องปรุงรสเปรี้ยวคู่ครัวที่แทบจะมีติดไว้ทุกบ้าน แต่คุณรู้หรือไม่ว่า..ประโยชน์ของน้ำส้มสายชู ไม่มีไว้สำหรับปรุงอาหารเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่น้ำส้มสายชูยังสามารถใช้ทำอะไรต่าง ๆ ในบ้านได้มากมายจนคุณอาจคาดไม่ถึงเลยล่ะ ไม่ว่าจะใช้แทนน้ำยาทำความสะอาด ขจัดคราบต่าง ๆ เป็นต้น เอาเป็นว่าถ้าคุณอยากรู้จักกับประโยชน์ของน้ำส้มสายชูให้มากขึ้นล่ะก็ ลองตามไปดูกันเลย



1. ขจัดคราบในตู้เย็น
          สำหรับปัญหาคราบไคลในตู้เย็นที่คุณแม่บ้านไม่รู้จะจัดการกับมันอย่างไรดี เราแนะนำให้คุณผสมน้ำเปล่า กับน้ำส้มสายชู อย่างละครึ่งถ้วยเข้าด้วยกัน ก็จะได้น้ำยาสำหรับทำความสะอาดแล้ว ที่เหลือคุณก็แค่นำไปถู ๆ ขัด ๆ ตรงบริเวณที่มีรอยเปื้อนและคราบสกปรกที่เกาะติดอยู่ตามผนัง ประตู ลิ้นชัก และช่องต่าง ๆ ภายในตู้เย็นเท่านั้นเอง 

2. ทำความสะอาดกาน้ำชาและถ้วยกาแฟ
          หากมีคราบติดอยู่ที่กาน้ำชา ให้ขัดด้วย น้ำส้มสายชูประมาณครึ่งถ้วย ที่ผสมกับเกลือหรือเบกกิ้งโซดา ประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ ก็จะสะอาดขึ้น สำหรับถ้วยกาแฟ หรือจานชามต่าง ๆ ให้เทน้ำส้มสายชูลงไปในภาชนะเหล่านั้นประมาณ 1 ถ้วยแล้ววางทิ้งไว้ แค่นี้ก็ไม่มีคราบสกปรกหลงเหลือแล้ว

3. จัดการกับเชื้อรา
          หากห้องน้ำของคุณกำลังโดนเหล่าเชื้อราบุก ไม่ควรนิ่งนอนใจต้องรีบกำจัดออกซะตั้งแต่ตอนนี้เลย โดยการฉีดน้ำส้มสายชูลงไปให้ทั่วทั้งห้องน้ำ รวมทั้งสุขภัณฑ์ต่าง ๆ ภายในห้องน้ำด้วย ไม่ว่าจะเป็นอ่างอาบน้ำ อ่างล้างหน้า หรือฝักบัว จากนั้นก็เช็ดตามอีกครั้งด้วยผ้าชุบน้ำบิดหมาด ๆ วิธีนี้ยังสามารถนำไปใช้ทำความสะอาดคราบเชื้อราในห้องอื่น ๆ ได้อีกด้วย 

4. แก้ปัญหาชักโครกสกปรก
          ชักโครกที่คุณเห็นว่าสะอาดนั้น จริง ๆ แล้วอาจจะไม่ได้สะอาดอย่างที่คุณคิด ดังนั้นคุณจึงควรทำความสะอาดด้วยการนำน้ำส้มสายชูกลั่นราดลงไปให้ทั่วชักโครก จากนั้นก็ทิ้งเอาไว้ประมาณ 5 - 6 ชั่วโมง หรือ 1 คืน แล้วขัดคราบสกปรกออกด้วยแปรงขัด เมื่อขัดจนคราบออกหมดแล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด 

5. ซักผ้าม่านได้ทันใจ
          การทำความสะอาดผ้าม่านนั้นก็ง่าย ๆ แค่เพียงใช้น้ำส้มสายชู 2 ช้อนโต๊ะ ผสมกับเกลือหรือผงเบกกิ้งโซดาประมาณ 1 ส่วน 4 ช้อนโต๊ะ แล้วนำส่วนผสมทั้งหมด ขัดที่บริเวณที่มีคราบสกปรก แล้วปล่อยทิ้งไว้จนแห้งสนิท จากนั้นก็ใช้เครื่องดูดฝุ่น ดูดสิ่งสกปรกออกอีกครั้ง ทั้งนี้อย่าลืมดูชนิดผ้าของผ้าม่านด้วยนะคะว่า สามารถใช้กับเครื่องดูดฝุ่นได้หรือเปล่า 

6. ตะไคร่หายเกลี้ยง
          ก๊อกน้ำในห้องครัว ในห้องน้ำ หรือบริเวณโรงรถของคุณ หากไม่ดูแลให้ดีอาจจะมีคราบสีเขียว ๆ หรือตะไคร่น้ำเข้ามาเยี่ยมเยือน ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันแขกที่ไม่พึงประสงค์ คุณควรจะเช็ดหัวก๊อกน้ำด้วยน้ำส้มสายชู 1 ช้อนชากับเกลือ 2 ช้อนโต๊ะ ทาลงบนหัวก๊อกให้ทั่วจากนั้นให้ขัดออกด้วยผ้าชุบน้ำบิดหมาด ๆ อย่างเบามือ เท่านี้คราบต่าง ๆ ก็ไม่กล้ามากวนใจคุณแล้ว 

7. ล้างภาชนะของสัตว์เลี้ยง
          สำหรับบ้านที่มีสัตว์เลี้ยง ไม่ว่าจะเป็นแมว สุนัข หรือสัตว์อื่น ๆ หากปล่อยให้ของใช้ของพวกมันสกปรกก็อาจจะเกิดกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ ดังนั้นหากคุณพอจะมีเวลาก็ควรนำของใช้ของสัตว์เลี้ยงทั้งถ้วยอาหาร ที่นอน หรือกระบะแมว มาทำความสะอาดบ้าง โดยการนำน้ำส้มสายชูเทลงไปในภาชนะ แล้ววางทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จากนั้นก็ล้างออกด้วยน้ำเปล่า เท่านี้ก็ป้องกันการเกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้แล้วล่ะ 

8. ไมโครเวฟสะอาดสดชื่น
          ถ้าไมโครเวฟของคุณมีกลิ่น หรือเศษอาหารหลงเหลืออยู่ ให้คุณนำน้ำส้มสายชูและน้ำร้อนอัตราส่วน 1 : 1 เทลงไปในถ้วย จากนั้นก็นำไปวางไว้ในไมโครเวฟ ตั้งความร้อนที่ระดับสูงสุด แล้วอุ่นเอาไว้ประมาณ 5 นาที เพื่อให้คราบสามารถขจัดออกได้ง่ายขึ้น จากนั้นก็ใช้ผ้าหรือฟองน้ำเช็ดคราบสกปรกในไมโครเวฟออกจนสะอาด 
9. เสกคราบหมากฝรั่งหลุดหาย
          คราบหมากฝรั่ง หรือคราบสติ๊กเกอร์ ที่เกาะอยู่ตามเฟอร์นิเจอร์ หรือส่วนต่าง ๆ ของบ้าน มักจะทิ้งคราบเหนียวและรอยเปื้อนสีดำเอาไว้ให้ดูต่างหน้า ฉะนั้นหากคุณอยากจะกำจัดออก ให้ขัดด้วยผ้าชุบน้ำส้มสายชู ถูวนตามเข็มนาฬิกาในการกำจัดคราบหมากฝรั่ง ส่วนคราบสติ๊กเกอร์ ให้คุณทาน้ำส้มสายชูลงบนคราบ แล้วทิ้งไว้สัก 10 นาที แล้วขัดออกด้วยวิธีเดียวกัน คราบที่ว่ายากก็ออกอย่างง่ายดายแบบไม่ต้องลงแรงเลย 

10. ลบรอยดินสอสี
          หากผนังและพื้นบ้านเต็มไปด้วยรอยดินสอสี ฝีมือของเด็ก ๆ ล่ะก็ ให้ใช้แปรงสีฟันชุบน้ำส้มสายชู แล้วขัดออกเบา ๆ เพียงเท่านี้คราบก็หายไปเหมือนสั่งได้ โดยไม่จำเป็นต้องลงทุนทำพื้นใหม่ หรือทาสีบ้านใหม่เลย ที่สำคัญน้ำส้มสายชูยังปลอดภัย และเป็นมิตรกับเด็ก ๆ อีกด้วย 
11. ป้องกันวัชพืช
          หากมีวัชพืชลอยหน้าลอยตาอยู่ในกระถาง หรือสวนของคุณ ให้กำจัดออกด้วยการราดน้ำส้มสายชูลงไปบนวัชพืชให้ชุ่ม แล้วปล่อยทิ้งไว้ เพียงเท่านี้วัชพืชก็ไม่กลับมารบกวนเหล่าต้นไม้สุดที่รักของคุณอีกแล้วล่ะ

12. ยืดอายุดอกไม้ให้บานสะพรั่ง
          คุณสามารถคงความสดให้กับดอกไม้ในแจกันด้วย การใส่น้ำส้มสายชูลงในแจกันประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ ตามด้วยน้ำตาลประมาณ 1/4 ส่วน โดยวัดจากปริมาณน้ำทั้งหมด แล้วคนส่วนผสมให้เข้ากัน เท่านี้ดอกไม้ของคุณก็บานสะพรั่งอยู่ในแจกันได้นานขึ้นแล้วจ้า
13. หมักเนื้อสัตว์ให้อ่อนนุ่ม
          ก่อนจะนำเนื้อสัตว์ไปปรุงอาหาร ให้น้ำเนื้อชิ้นนั้นไปหมักกับซอสหมักเนื้อที่ผสมด้วยน้ำส้มสายชูประมาณ 1 ส่วน 4 ของถ้วย ต่อเนื้อ 1 กิโลกรัม แล้วหมักทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที หรือถ้ามีเวลามากพอลองหมักทิ้งไว้ข้ามคืนเลยก็ได้ เพียงเท่านี้ก็จะได้เนื้อสะอาดอ่อนนุ่มมาปรุงอาหารได้อย่างสบายใจเลย 

14. สลัดความฝืดของกรรไกร
          ถ้าตอนนี้กรรไกรของคุณเริ่มฝืด ตัดอะไรไม่ค่อยจะขาด ให้เช็ดกรรไกรด้วยผ้าชุบน้ำส้มสายชูบิดหมาด ๆ พราะน้ำส้มสายชูนั้นไม่ได้ทำให้กรรไกรสะอาดเพียงอย่างเดียว แต่น้ำส้มสายชูยังช่วยป้องกันการเกิดสนิมให้กับกรรไกรอีกด้วย

15. เพิ่มพลังขจัดรอยไหม้บนเตาปิ้ง
          บนตะแกรงหรือเตาปิ้งที่มีคราบอาหารเกาะอยู่ ก่อนจะนำไปทำความสะอาดให้ฉีดด้วยน้ำส้มสายชูเสียก่อน โดยปล่อยทิ้งไว้สักครู่ แล้วขัดคราบออกด้วยฝอยขัดหม้อ ก็จะช่วยให้คราบต่าง ๆ สลายออกได้ง่ายขึ้น  

          เห็นไหมคะว่า น้ำส้มสายชู คือของดีคู่ครัวที่คุณควรมีไว้ติดบ้าน เพราะนอกจากจะทำให้รสชาติอาหารเป็นที่ถูกปากแล้ว ยังสามารถทำให้บ้านของคุณกลับมาสะอาดได้อย่างใจอีกด้วย นอกจากนี้คุณยังไม่ต้องเอาตัวเข้าไปเสี่ยงกับสารเคมีภัณฑ์ต่าง ๆ ให้เป็นกังวลด้วยนะ

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม 

วันอาทิตย์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2557

มาริโมะ Marimo

มาริโมะ Marimo ของเล่นสุดฮิตปิดท้ายปี 2013


 เมื่อเจ้าก้อนกลมๆ เขียวๆ อยู่ในโหล ในขวดแก้ว มีชื่อว่า มาริโมะ ( marimo ) ซึ่ง มาริโมะ  ( marimo ) เป็น มอสบอล ถูกค้นพบครั้งแรกที่ทะเลสาป Akan ในประเทศญี่ปุ่น นิยม เป็นของฝากขึ้นชื่อจากฮอกไกโด


มาริโมะ (marimo)  มอสบอลญี่ปุ่น
“มาริ”ความหมาย“ลูกบอลกลมๆ
“โมะ”ความหมายว่า “พืชจำพวกสาหร่ายหรือตะไคร่น้ำ”
ภาษาอังกฤษ ว่า “moss ball”
มาริโมะ คือ สาหร่ายน้ำจืดสีเขียวที่มีรูปลักษณ์แตกต่างจากสาหร่ายน้ำจืดชนิดเดียวกันที่มีอยู่ในทะเลสาบแห่งอื่นของโลก
คนญี่ปุ่นเรียกสาหร่ายชนิดที่ว่านี้ว่า “มาริโมะ” เป็นชื่อที่นักพฤกษศาสตร์ ทะซึฮิโกะ คาวาคามิเป็นคนตั้งไว้
มาริโมะจะพบที่ทะเลสาบ อะคัง ที่เกาะฮอกไกโดประเทศญี่ปุ่น และทะเลสาบเพียงไม่กี่แห่งบนโลกเท่านั้น
ว่ากันว่าสิ่งที่ทำให้  มาริโมะ สามารถรวมตัวกันเป็นก้อนวงกลมแบบนี้ได้ น่าจะมาจากหมุนตัวจากการไหลเวียนของน้ำตามธรรมชาติในทะเลสาป โดย มาริโมะ นั้นจะมีเส้นผ่านศุนย์กลางใหญ่สุดประมาณ 25 เซนติเมตรหรืออาจบังเอิญใหญ่ผิดปกติเหมือนคลิปข้างบนแตาหายากอยู่เหมือนกัน 
เนื่องจาก มาริโมะ เป็นพืชชนิดหนึ่ง จึงสามารถมีชีวิตอยู่ได้ด้วยการสังเคาะห์แสง เมื่อพิ้นผิวด้านบนของ มาริโมะ ต้องแสง ก็จะสามารถสังเคาะห์แสงเองได้

การเลี้ยงมาริโมะ นั้นถือว่าเลี้ยงง่าย หากแต่ว่ามันเติบโตยาก เชื่อกันว่า มาริโมะ สามารถเติบโตได้เพียงปีละ 1 เซนติเมตรเท่านั้น สำหรับผู้ที่จะเลี้ยงมาริโมะนั้นจะต้องปฏิบัติดังมาริโมะเป็นสิ่งมีชีวิตประเภทหนึ่งซึ่งเราจะต้องดูแลและทะนุถนอมเขา
นอกจากนี้คนญี่ปุ่นมีความเชื่อว่ามาริโมะ  จะช่วยให้เราสมหวังในเรื่องของความรักและมีความสุขได้ หลายๆคนจึงนิยมที่จำนำมาริโมะมาเป็นของฝาก และนำมาเป็นเครื่องรางนำโชคให้แก่ตัวเอง
มาริโมะ ขึ้นชื่อว่าเป็นล้ำค่าสำหรับฮอกไกโด เพราะด้วยเอกลักษณ์ที่แปลกและมีความน่ารักเฉพาะตัว อีกทั้งยังหาได้ไม่กี่ที่ในโลก จึงไม่แปลกเลยที่จะทำให้คนที่ได้ยินชื่อและเรื่องราวชีวิตของ มาริโมะ  เกิดความสนใจ และไปหามาครอบครอง


เทคนิคการเลี้ยงมาริโมะ
1. ชอบน้ำกระด้างหน่อยๆ ควรเลี้ยงในตู้ที่มีพวกกรวดปะการังให้ pH สูงนิดหน่อยถ้าอยากให้โตเร็วๆนะ
2. น้ำไม่ต้องเย็นก็ได้ แต่ถ้าเย็นจะโตเร็ว สามารถทนได้ถึง 30°C
3. ถ้าน้ำไหลวนมากๆ ก็จะดี เพื่อจะได้ฟอร์มตัวเองให้เป็นก้อนกลมๆ
4. หากเลี้ยงหลายๆ ลูก ตอนเปิดแสง มันจะลอยขึ้นผิวน้ำ เป็นเรื่องปกติเพราะเนื้อข้างในมันคายออกซิเจนออกมา ปืดไฟมันก็จมลงไปใหม่
5. ห้ามลงยากำจัดตะไคร่ เด็ดขาด โดยเฉพาะ flourish excel
6. การขยายพันธุ์ ต้องปล่อยให้มันสร้างก้อนเล็กๆ ขึ้นมาเอง แล้วหลุดออกมา อย่าไปแบ่งครึ่ง มีสิทธิตายสูง หากแบ่งไปแล้วต้องปั้นมันให้กลับมากลมเหมือนเดิม ไม่ต้องไปเร่งมัน ปล่อยมันขยายของมันเองดีกว่า เดี๋ยวตายสงสารมัน – -“
7. แสง ชอบแสงน้อยๆ แสงมากไม่ดี แสงอาทิตย์อาจตาย เพราะปกติมันอยู่น้ำลึกๆเพราะต้องการแสงน้อย แต่ก็ต้องการปุ๋ย คาร์บอน เหมือนไม้น้ำทั่วๆไป
8. ห้ามใช้คาร์บอนน้ำ
9. มาริโมะก็ไม่สบายได้ ดูจากขนมันจะเป็นสีเหลืองหรือน้ำตาล เพราะผิดสมดุลเกลือแร่ และสมดุลแบคทีเรีย แก้โดยเอามือถูส่วนที่เปลี่ยนสีออกเบาๆ แล้วเติมเกลือทะเลลงไป 5% คือเขาชอบน้ำกระด้างหน่อยๆอ่ะนะ
10. หากเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลทั้งก้อน ก็ทำใจซื้อใหม่เถอะ
11. พูดง่ายๆ คือหากอยากขยายพันธุ์ ต้องทำตู้เลี้ยงมันโดยเฉพาะ



ข้อมูล teen.mthai อ้างอิง REDBEE BY KFT & AQUA DESIGN , fb marimo moss ballที่มา http://teen.mthai.com/variety/65312.html


วันอาทิตย์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2556

สุนัขพันธุ์ ปอมเมอเรเนียน




เป็นสุนัขพันธุ์เล็ก มีขนนุ่มปุกปุย มีหัวเป็นรูปลิ่ม หูตั้งชี้ขึ้น บรรพบุรุษปอมเมอเรนียนย้อนกลับไปถึงยุคก่อนคริสตกาล พบภาพวาดในแผ่นหินและรูปหล่อสัมฤทธิ์ตามโลงศพที่พบในอียิปต์ พบโครงกระดูกสุนัขพันธุ์เล็กคล้ายพันธุ์ปอมเมอเรเนียน ในอุโมงค์ที่บรรจุศพสมัยโบราณของชาวอียิปต์
เชื่อกันว่า ปอมเมอเรเนียนได้รับการพัฒนาให้เป็นปอมเมอเรเนียนในปัจจุบันครั้งแรกที่เมืองปอมเมอเรเนีย ประเทศเยอรมัน ตั้งอยู่ในยุโดรเหนือแถบทะเลบอลติก ดินแดนกว้างใหญ่จากตะวันตกของเกาะรูเกนถึงแม่น้ำวิทูลา ที่แห่งนี้มีการเลี้ยงสุนัขอย่างแพร่หลาย ทั้งเพื่อให้เป็นสัตว์และเพื่อให้เป็นสุนัขอารักขา ปอมเมอเรเนียนมีต้นกำเนิดจากพันธุ์สปิทซ์ในสมัยโบราณ บางคนเชื่อว่าสุนัขปอมเมอเรเนียนพัฒนาจากสุนัขพันธุ์ซามอยด์ ซึ่งมีต้นกำเนิดอยู่ที่ตอนเหนือของประเทศรัสเซียแถบไซบีเรีย บางคนเชื่อว่าพัฒนามาจากสุนัขป่า ซึ่งอาศัยอยู่ตามถ้ำในประเทศเยอรมัน และถูกนำมาใช้เป็นสุนัขเลี้ยงแกะในทวีปยุโรปตอนกลางและตอนล่าง นำมาพัฒนาในยุโรปเพื่อช่วยในการเลี้ยงแกะ ซึ่งบรรพบุรุษของปอมฯ น่าจะมีน้ำหนักมากถึง 30 ปอนด์ บางคนเชื่อว่าสุนัขปอมฯ มีต้นกำเนิดมาจากประเทศกรีซ โดยอ้างหลักฐานจากภาพวาดสมัยโบราณหลายภาพที่มีอายุ 400 ปีก่อนคริสตกาล หรือเกือบประมาณ 2500 ปีมาแล้ว มีภาพของสุนัขขนาดเล็กที่มีรูปร่างลักษณะเหมือนสุนัขปอมฯ ในปัจจุบัน คือ Stop ที่เด่นชัด ช่วงปากแหลม หูสั้น ลักษณะการเดินและการแสดงออกเหมือนกับที่พบได้ในปัจจุบันทุกประการ ยกเว้นแต่ตำแหน่งของหางที่อยู่ต่ำเกินไปเท่านั้น แสดงว่าสุนัขพันธุ์นี้มีขนาดเล็กมากตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว ไม่ใช่เพิ่งพัฒนาให้มีขนาดเล็กลงเมื่อ 40-50 ปีที่ผ่านมาตามที่มีคนในประเทศอังกฤษอ้างเสมอ ประมาณปี 1800 สมเด็จพระราชินีวิคตอเรีย ทรงมีความชื่นชอบในสุนัขพันธุ์ปอมเมอเรเนียนและส่งสุนัขของพระองค์ลงประกวด ทำให้เกิดความนิยมปอมเมอเรเนียนอย่างแพร่หลายในประเทศอังกฤษ และเพราะความที่พระองค์โปรดปรานสุนัขที่มีขนาดเล็ก ผู้เพาะพันธุ์หลายคนเริ่มที่จะคัดสุนัขที่มีขนาดเล็ก ปัจจุบันปอมฯ ที่เราเห็นอยู่มีขนาดที่เล็กลงจากปอมฯ ที่เป็นต้นตำรับ 4-5 ปอนด์
ความฉลาดและความสามารถของปอมฯ ทำให้สุนัขพันธุ์นี้เป็นพระเอกในคณะละครสัตว์อย่างต่อเนื่อง ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในเยอรมัน นิยมเลี้ยงกันเป็นฝูง บางแห่งทำเป็นสุนัขลากเลื่อนก็มี ปอมฯ เข้าสู่อังกฤษช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 18 และได้รับความนิยมอย่างสูง เช่น มีการตั้งชมรมคือ English Pomeranian Club ในปี 1891 ภายหลังสมเด็จพระราชินีวิคตอเรียทรงออกงานพร้อมสุนัขพันธุ์นี้บ่อยครั้ง ทำให้สุนัขพันธุ์นี้ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางและรวดเร็ว ส่วนในประเทศอเมริกามีการปรากฎตัวครั้งแรกของปอมเมอเรเนียนที่งานกระกวดสุนัขแห่งหนึ่งประมาณปี 1892 ไม่กี่ปีหลังจากนั้นมีการสั่งนำเข้าอีกเกือบ 200 ตัว มาตรฐานของปอมฯ โดยทั่วไป รูปรางจะเหมือนสุนัขจิ้งจอก มีขนาดกลาง ตาเป็นวงรีสีดำ หูเล็กตั้งตรง ลำตัวสั้นขนาดกระทัดรัด หางเป็นพวงแผ่อยู่บนส่วนหลัง


มาตราฐานสายพันธุ์
ลักษณะทั่วไป : ปอมฯ เป็นสุนัขขนาดเล็ก ลำตัวสั้นกระทัดรัด น้ำหนักประมาณ 4-6 ปอนด์ มีการแสดงออกถึงความเฉลียวฉลาด ร่าเริงและตื่นตัวอยู่เสมอ ซื่อสัตย์ รักเจ้าของ ขี้ประจบ แต่เป็นสุนัขค่อนข้างตกใจง่าย เห่ามาก ยิ่งตัวเล็กยิ่งเห่าเก่ง
สัดส่วน : น้ำหนักของปอมฯ โดยเฉลี่ยแล้วจะหนักประมาณ 3-7 ปอนด์ (ประมาณ 1.25-3 กก.) แต่ขนาดที่ดีสำหรับการประกวดนั้นควรหนักประมาณ 4-6 ปอนด์ (1.7-2.5 กก.) ถ้าสุนัขหนักมากกว่าหรือน้อยกว่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ถือว่าผิดมาตรฐาน รูปร่างของสุนัขมีความสำคัญกว่าขนาดของสุนัข ช่วงตั้งแต่หน้าอกจนถึงสะโพกจะสั้นกว่าหรือเท่ากับส่วนสูงตั้งแต่ช่วงไหล่จนถึงพื้น กระดูกมีขนาดปานกลาง
ศีรษะ : ขนาดของหัวต้องได้สัดส่วนกับลำตัว ช่วงปาก (MUZZLE) สั้นตรง หน้าดูคล้ายกับสุนัขจิ้งจอก (FOXY EXPRESSION) หัวกะโหลกปิด ช่วงบนของหัวกะโหลกจะกลมเล็กน้อยแต่ไม่โหนกนูน ถ้ามองจากด้านหน้าและด้านข้างแล้วจะต้องเห็นหูที่มีขนาดเล็กอยู่ในตำแหน่งที่สูง (HIGH EARSET) และตั้งตรง รูปร่างปากจะมีลักษณะคล้ายรูปลิ่ม(WEDGE SHAPE) เส้นที่ลากจากจมูกไปถึงจุดหัก (STOP) จะต้องอยู่ตรงกลางระหว่างตาทั้งสองข้างและหูทั้งสองข้าง ตามีสีดำสนิท สดใส ขนาดปานกลาง คล้ายเมล็ดอัลมอนด์ (ALMOND SHAPE) สีของจมูกและขอบตาต้องดำสนิท ยกเว้นปอมฯ สีน้ำตาล BEAVER และ BLUE ฟันต้องกัดสบกันพอดี (SCISSORSBITE)
นิสัยและอารมณ์ : สุนัขปอมฯ เป็นสุนัขที่เปิดเผย แสดงออกถึงความเฉลียวฉลาด
คอ เส้นหลังและลำตัว : คอค่อนข้างสั้น ตั้งอยู่บนไหล่ ทำให้ช่วงคอตั้งสูง แลดูสง่างาม ช่วงหลังสั้น มีระดับของเส้นหลัง หางมีตำแหน่งที่สูง (HIGH TAILSET) วางราบตรงอยู่บนหลัง
ลำตัวส่วนหน้า : ไหล่จะต้องมีการเอียงลาดลงเพียงพอ เพื่อให้สามารถชูคอและหัวได้สูงและสง่างาม ความยาวของช่วงไหล่และขาตอนบนต้องเท่ากัน ขาหน้าต้องตรงและขนานกัน ความยาวตั้งแต่ไหล่จนถึงข้อศอกต้องมีความยาวเท่ากับข้อศอกถึงพื้น ขาต้องตรงและแข็งแรง ไม่เอียงเข้าหรือเอียงออก
ลำตัวส่วนหลัง : ได้สัดส่วนกับลำตัวส่วนหน้า ตำแหน่งของหางจะต้องอยู่เหนือสะโพกค่อนมาทางด้านหน้าต้นขา ต้องมีกล้ามเนื้อแข็งแรงปานกลาง และมีส่วนหน้าของขาหลัง (STIFLES) มีมุม (ANGULATION) ที่โค้งงอพอสมควรรับกับส่วนน่อง (HOCK) ต้องตั้งฉากกับพื้น ถ้ามองจากด้านหลังขาทั้ง 2 ข้างต้องตรงและขนานกัน เท้ามีลักษณะโค้งมนกระชับ ไม่เอียง สุนัขต้องยืนอยู่ปลายเท้า (TOES) นิ้วติ่ง (DEWCLAWS) ถ้ามีควรตัดออก
การเคลื่อนไหว : การเดินหรือการเคลื่อนไหวต้องเป็นไปอย่างอิสระราบเรียบ นุ่มนวล แลดูแข็งแรง เวลาเดินขาหน้าต้องเหยียดตรงไม่งอพับขึ้น ข้อศอกไม่กางออก ส่วนขาหลังต้องไม่ถ่างออก ขาหลังจะเคลื่อนไปข้างหน้าในจังหวะเดียวกันกับขาหน้าที่เคลื่อนที่ไป
ขน : สุนัขปอมฯ มีขน 2 ชั้น คือ ขนชั้นใน (UNDERCOAT) ต้องนุ่มและแน่น ขนชั้นนอก(OUTTERCOAT) ต้องยาวตรงเป็นประกายและหยาบ ขนชั้นในที่หนาแน่นจะช่วยพยุงขนชั้นนอกให้ฟูไม่ลู่ เหยียดตรง ขนจะต้องหนาแน่นตั้งแต่ช่วงคอ หน้าอก ช่วงไหล่ด้านหน้า ขนช่วงหัวและขาจะแน่นแต่สั้นกว่าขนช่วงลำตัว ขนหางยาว หยาบและเหยียดตรง การตัดแต่งเล็มขนให้ดูสวยงามและดูเรียบร้อยไม่ถือเป็นข้อผิด
สี : สีที่ได้รับการยอมรับและรับรอง ควรได้รับการพิจารณาการตัดสินอย่างเท่าเทียมกัน สีที่ได้รับการยอมรับได้แก่
1. สีใดๆ ก็ได้ที่ขึ้นเป็นสีเดียวกันทั้งตัว หรืออาจจะมีสีที่อ่อนหรือแก่กว่าแซมอยู่ด้วย (SELT-COLOR)
2. สีแซมกัน 2 สี (PARTI-COLOR) หมายถึงปอมฯ ที่มีสีขาวและมีสีอื่นแซมเป็นพื้นๆ กระจายเท่าๆ กันทั่วตัว และควรมีแถบสีขาวบนหัวด้วย
3. สีดำและน้ำตาล (BLACK AND TAN) หมายถึงปอมฯ มีสีดำที่มีสีน้ำตาลอยู่เหนือตาทั้ง 2 ข้างและปาก ลำคอ หน้าอก ใต้หาง ขาและเท้าทั้ง 4 ข้าง สีน้ำตาลนี้ยิ่งเข้มยิ่งดี
4. BRINDLE ได้แก่ปอมฯ ที่มีพื้น คือ สีทอง แดงหรือส้ม และมีสีดำแซมอยู่ทั่วทั้งตัว


จุดบกพร่อง :
1. กะโหลกกลม โหนกนูน ฟันล่างยื่น (UNDERSHOT MOUTH) หรือฟันบนยื่นจนเกินไป (OVERSHOT MOUTH)
2. ข้อเท้าราบกับพื้นมากเกินไป
3. ขาหลังที่หัวเข่าชิดกัน ปลายเท้าชี้ออก (COWHOCKS) หรือขาหลังที่บกพร่อง
4. ขนที่นิ่ม เหยียดตรงและแยกออกจนเห็นผิวหนังข้างใน (OPEN COAT)